หน้าเว็บ

เป้าหมายหลัก

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2560

ธรรมชาตินิยม


ธรรมชาตินิยม อาจนิยามตามที่ถือกันทั่วไปว่า ได้แก่ความเชื่อที่ว่า ทุกสิ่งและเหตุการณ์ทั้งหลายนั้นมีมูลเหตุมาจากธรรมชาติ มากกว่าสิ่งเหนือธรรมชาติ จักรวาลมีเหตุกำเนิดมาจากธรรมชาติ มากกว่าภาวะเหนือธรรมชาติ มนุษย์มีจุดหมายตามธรรมชาติมากกว่าสิ่งเหนือธรรมชาติ


ธรรมชาตินิยม คือ ทฤษฎีที่ว่าด้วยสิ่งทั้งหลายในโลกที่เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับโลกอื่น เช่น ธรรมชาตินิยมของนักปรัชญาของจีน คือ ปรัชญาของขงจื๊อ ขงจื๊อเกลียดคำอธิบายแบบเหนือธรรมชาติทุกแบบ และปัญหาที่สนใจพิเศษคือ ธรรมชาติและความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ในขณะเดียวกัน เราจะเห็นว่า วิธีการตอบปัญหาของอาริสโตเติล ก็เป็นธรรมชาตินิยม ถึงแม้ว่าอาริสโตเติลจะเชื่อถือพระเจ้า ซึ่งแตกต่างกับโลกก็ตาม เวลาอธิบายสิ่งทั้งหลายก็ไม่ได้อ้างถึงโลกอื่นเลย ซึ่งแตกต่างกับเพลโตที่อ้างโลกอื่น คือ เพลโตถือว่า คำอธิบายสิ่งทั้งหลาย ที่ถูกต้องที่สุดนั้น มีอยู่ในโลกของสวรรค์ คือโลกแห่งมโนคติ 


อาริสโตเติลวิจารณ์หลักคำสอนเรื่อง โลกในอุดมคติ ของเพลโตว่า ไม่จำเป็นต้องสร้างโลกอื่นขึ้นมาเพื่ออธิบายโลกนี้ ข้อวิจารณ์นี้จัดได้เป็นแบบเจตคติทางธรรมชาตินิยม


ธรรมชาตินิยมที่ใช้ในความหมายแคบๆ หมายถึง วิธีการเข้าสู่ปรัชญาวิธีหนึ่ง ซึ่งพัฒนาขึ้นในสหรัฐอเมริกา หลังจากพวกปฏิบัตินิยม (pragmatists) มีอิทธิพลกว้างกวาง ปรัชญาที่สอนกันในมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา จนถึงสิ้นศตวรรษแล้ว โดยทั่วไปเป็นปรัชญาจิตนิยม นักปรัชญาบางท่าน มี ชาร์ลเพียร์ซวิลเลียมเจมส์ และจอห์น ดิวอี้ เป็นต้น ได้แสดงปฏิกิริยาต่ออภิปรัชญาจิตนิยม และโลกทรรศน์ในแนวกว้าง ไปสนใจค้นคว้าวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ และวิธีการแก้ปัญหาทางศีลธรรมและสังคมกันมากขึ้น แต่ ประสบการณ์นิยมรุ่นใหม่ ก็ต้องการจุดยืนทางอภิปรัชญา เกี่ยวกับปัญหาธรรมชาติ กับเหนือธรรมชาติ โดยทั่วไปนักประสบการณ์นิยมจะประกาศว่า ตัวเองเป็นฝ่ายธรรมชาติ


ซันตายานา (George Santayana) ช่วยทำให้คำว่า ธรรมชาตินิยม เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย แม้ว่า ท่านเองจะไม่สนใจทั้งในด้านประสบการณ์นิยม และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ท่านถือว่า ทรรศนะเกี่ยวกับโลกนี้เข้ากันได้กับอุดมคติเหตุผลและภาวะของสสาร ของนักปรัชญากรีก



สรุปว่า ธรรมชาตินิยมแยกกันเด็ดขาดกับเทวนิยมปรัชญาเทวนิยมสอนว่า พระเป็นเจ้ามีอยู่จริง พระเป็นเจ้าเป็นสัตอย่างหนึ่ง แต่ธรรมชาตินิยมสอนว่า ไม่มีพระเป็นเจ้า ไม่มีระเบียบเหนือธรรมชาติ ไม่มีทวิภาคระหว่างพระเป็นเจ้ากับโลกอย่างไรก็ตาม ยังมีธรรมชาตินิยมบางลัทธิเข้ากันได้กับหลักคำสอนที่ถือว่าพระเป็นเจ้าเป็นอุดมคติอย่างหนึ่ง อุดมคตินี้อาจมีอิทธิพลเหนือชีวิตมนุษย์ผู้ปรารถนาแสวงหาความดี



http://bubeeja.blogspot.com/2013/08/naturalism.html

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

ความลับของ จักรวาลและมนุษย์ (THE SECRET OF UNIVERSE AND HUMAN)

ความลับของ จักรวาลและมนุษย์ (THE SECRET OF UNIVERSE AND HUMAN)

จักรวาล คือสิ่งที่ไม่สิ้นสุด ไม่มีขอบเขต ไม่มีศูนย์กลาง และไม่มีความแน่นอน หากคุณลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันสดใสในยามค่ำคืน คุณจะรู้สึกและสัมผัสพลังลึกลับแห่งจักรวาลที่ซ่อนอยู่ คุณจะเห็นภาพอันกว้างใหญ่ไพศาสที่ไม่มีขอบเขต พร้อมกับแสงดาวระยิบระยับที่ดูมีชีวิต
แน่นอนที่สุด…ดาว เคราะห์สีฟ้าที่เรียกว่าโลก(Planet-Earth) ของพวกเราเป็นเพียงเมล็ดเซลล์ขนาดเล็ก ที่รวมกันกับเมล็ดเซลล์(ดวงดาว)อื่นๆ จนก่อให้เกิดกาแล็กซี่ขนาดใหญ่ พร้อมกับกาแล็กซี่อื่นๆอีกนับล้านๆ จนก่อให้เกิดระบบนิเวศที่มีชีวิตขนาดมหึมาอันน่ามหัศจรรย์ ที่เรียกว่า จักรวาล (Universe)
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ ก็เช่นเดียวกัน พวกเราเปรียบเสมือนเป็นเพียงอะตอมเล็กๆ ที่อาศัยอยู่บนเซลล์ (ดาวเคราะห์) ที่ล้วนแต่มีความกลมเกลียวกัน (Harmony) ในเมื่อพวกเราเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋ว และบนท้องฟ้าคือสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา แล้วพวกเราเคยตั้งคำถามให้กับตัวเองบ้างไหมว่า พวกเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
วัฏจักรของจักรวาลการ จะหาคำตอบได้ ว่ามนุษย์มีชีวิตอยู่เพื่ออะไรนั้น เราควรที่จะต้องเข้าใจในเรื่องวัฏจักรของการเกิดและการดับเสียก่อน สิ่งนี้คือสิ่งที่ไม่สิ้นสุด และไม่รู้จบ (Infinite) ทุกอย่างในจักรวาลจะมีการเปลี่ยนสภาพไปตามกาลเวลา แต่จะไม่มีสิ่งใดสูญเสียไป ทุกอย่างจะกลายเป็นสสารที่ปะปนอยู่ในอากาศที่ไม่สิ้นสุด และจะไม่มีการสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยเช่นกัน ทุกสิ่งเพียงแต่แปรเปลี่ยนสภาพไป (Transform) ยกเว้นจะมีวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้เกิดการสร้างขึ้นมาใหม่
ดังนั้นมนุษย์เราและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ธรรมชาติหรือจักรวาลได้กำหนดสถานะและบทบาทของพวกเราไว้แล้ว นั้นก็คือการมีชีวิตอยู่ และการสร้างชีวิตใหม่ และจะวนเวียนแบบนี้ตลอดไปไม่สิ้นสุด ซึ่งสิ่งนี้ล้วนแต่เป็นเหตุผลในการดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตทุก ชนิดนั้นเอง
การสร้างชีวิตใหม่คืออะไร? การสร้างชีวิตใหม่ในที่นี้มีความหมาย เช่น การให้กำเนิดบุตร หรือแม้แต่การสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้ห้องทดลองเองก็ตาม เช่น เด็กหลอดแก้วหรือการโคลนนิ่ง สิ่งนี้ล้วนแต่เป็นการพยายามสร้างชีวิตใหม่ที่เป็นไปตามกฏของจักรวาล ทั้งในแบบธรรมชาติ(การปฏิสนธิในรังไข่) และแบบวิทยาศาสตร์(การผสมเทียม) คนที่เข้าใจในวัฏจักรของการเกิดแบบนี้ได้ ก็จะเข้าใจการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์อย่างลึกซึ้งได้เช่นกัน
เมื่อเราสร้างผู้อื่นได้ (ในอนาคตจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์) เราก็จะค้นพบคำตอบต้นกำเนิดของพวกเราเองด้วยเช่นกัน ความเชื่อที่ผิดความเชื่อในเรื่องพระเจ้านั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าแปลกเลย แต่มันจะช่วยให้เราเข้าใกล้วิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น เพียงแต่ว่า พระเจ้า ที่เราเข้าใจนั้นอาจไม่เหมือนพระเจ้าที่พวกเราทั่วไปเข้าใจซักเท่าไหร่
ถึงแม้มนุษย์เราจะมีวิวัฒนาการและความเจริญก้าวหน้ามาได้ในระดับนึงแล้ว แต่วงการวิทยาศาสตร์และการแพทย์เอง ก็พยายามศึกษา ค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับกำเนิดมนุษย์อย่างต่อเนื่อง เช่น การศึกษาร่างกายมนุษย์ การศึกษาการทำงานของสมองอันซับซ้อน การพยายามพิชิตโรคร้ายหรือการพยามยามปรับแต่งระบบรหัสพันธุกรรม DNA ที่เป็นกุญแจสำคัญของสิ่งมีชีวิตในจักรวาล และมนุษย์ก็เข้ามาใกล้ความสำเร็จเต็มทีแล้ว และเมื่อไหร่ที่สำเร็จ พวกเราเองก็จะได้คำตอบว่า
ที่แท้จริงพระเจ้าที่เราเข้าใจ ที่แท้จริงก็คือวิทยาศาสตร์ นั้นเองปัจจุบันมีทฤษฏีมากมาย ต่างๆนาๆที่พยายามอธิบายถึงกำเนิดของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นทฤษฏีที่ว่า มนุษย์เรากำเนิดจากเซลล์เพียงเซลล์เดียว เช่นแบคทีเรีย แล้วค่อยๆวิวัฒนาการมาเรื่อยๆนับล้านปี จนกลายเป็นมนุษย์ในที่สุด มีผู้คนมากมายต่างเห็นด้วยและงมงายไปกับทฤษฏีเหล่านี้ จนตีพิมพ์ในหนังสือตำราวิทยาศาสตร์ มันช่างเป็นอะไรที่น่าเสียดาย ที่นักวิยาศาสตร์ที่มีจิตใจอันคับแคบเหล่านั้น สนับสนุนทฤษฏีปัญญาอ่อนแบบนี้และทำเงินให้กับตัวเอง ในขนะที่นักวิยาศาสตร์คนอื่นๆที่ค้นพบความจริงในเรื่องนี้ กลับไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิดเลย เพราะอะไรน่ะหรือ?
กำเนิดมนุษย์และวิวัฒนาการ ลอง คิดดูดีๆซิว่า ความบังเอิญของเซลล์ตัวเดียว มันสามารถทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตอันซับซ้อน สวยงาม และเฉลียวฉลาดได้เพียงนี้เชียวหรือ ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญอย่างแน่นอนชีวิตย่อมมีผู้ สร้าง (Creator) และผู้ออกแบบ (Designer) อย่างไม่ต้องส่งสัย แม้จะมีนักวิทยาศาสตร์บางคนอ้างว่า มนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิงก็ตามที แต่ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นก็ยัง งง ตาแตกอยู่ ว่าทำไม โครโมโซม และรหัส DNA ของคนกับลิง ใกล้เคียงกันก็จริง แต่ทำไมรูปร่าง ลักษณะ หน้าตา และสติปัญญาถึงได้ต่างกันราวฟ้ากับเหวเพียงนี้ ลิงเหล่านั้นอาจเป็นเพียงหุ่นจำลองของมนุษย์ และต่อมาถูกเติมแต่งหรือปรับปรุงแก้ไขจนทำให้เป็นมนุษย์ขึ้นมา
ดังที่เขียนไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล บท เยเนซิส ใจความว่า”จงให้เราสร้างมนุษย์ในแบบฉายาของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศ และฝูงสัตว์ใช้ให้แผ่นดินทั่วไป และสรรพสัตว์ที่เลื้อยคลานบนแผ่นดินทั้งสิ้น” เยเนซิส 1:26   เราคงสงสัย แล้วว่า ถ้าเป็นวิวัฒนาการโดยบังเอิญแล้ว โอกาสน้อยมากหรือแบบไม่มีเลยที่จะก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตรูปร่างต่างๆ สีสรรและการแสดงท่าทางพิลึกพิกลของนก หรือรูปร่างแปลกๆของเขากวาง ลายอันสวยงามของเสือดาว หรือแพะป่าทำไมต้องมีเขาม้วนเช่นนั้น?
สิ่งเหล่านี้เป็นผลงานทางวิทยาศาสตร์บวกศิลปะจากฝีมือของพระผู้สร้างล้วนๆ เมื่อคุณจะสร้างสิ่งมีชีวิต จงอย่าได้ลืมนักศิลปะเป็นอันขาด ลองคิดดูซิว่า ถ้าปราศจากดนตรี ภาพยนตร์ ภาพวาด โลกนี้จะเป็นฉันใด ชีวิตคงน่าเบื่อมาก และสัตว์คงน่าเกลียดมาก ถ้ามันมีรูปร่างเพียงเพื่อสอดคล้องกับความจำเป็นและกลไกการทำงานเท่านั้น วิวัฒนาการของรูปพรรณของสิ่งมีชีวิตบนโลก เป็นผลสืบเนื่องจากการสร้างสิ่งมีชีวิตที่ค้ลายคลึงพวกตน กระโหลกของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นแบบฉบับอันแรก แล้วต่อมาได้ถูกสับเปลี่ยนด้วยอันที่ปรับปรุงดีขึ้นในที่สุดมันยากที่จะ เชื่อกับสิ่งนี้
แต่เราก็ควรจะยอมกับความจริงอันน่าประหลาดใจนี้ บางคนอาจจะตั้งคำถามงี่เง่าว่า หากมีผู้สร้างพวกเราขึ้นมาจริง แล้วใครคือผู้สร้างพวกเค้า? มันเป็นคำถามที่ดีมากๆ แต่มันเป็นคำถามคล้ายกับคำถามที่ว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนนั้นหละ มันเป็นสิ่งที่เสียเวลาและไร้ความหมายเป็นอย่างยิ่ง ที่พยายามจะหาคำตอบของคำถามนี้ ในเมื่อจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ไม่มีที่สิ้นสุด ก็จะไม่มีต้นกำเนิดด้วยเช่นกัน เพียงแค่เรารับรู้ว่า มีผู้สร้างเราขึ้นมา แค่นี้ก็เพียงพอแล้วมิใช่หรือ?
หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตใน เมื่อจักรวาลไม่มีขอบเขตและไม่มีสิ้นสุด สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ ก็ย่อมไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเพียงเผ่าพันธุ์เดียวในจักรวาลอย่างแน่นอน ผู้ที่ชอบถามคำถามทำนองว่า มีสิ่งชีวิตอยู่บนดาวดวงอื่นอีกหรือไม่นั้น นับเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงในเห็นว่า มนุษย์คนนี้มีสติปัญญาที่จำกัด เสมือนกับกบที่อยู่ในบึง แล้วถามกันเองว่า จะมีสิ่งชีวิตในบึงอื่นๆอีกหรือไม่ ผมรู้สึกชอบจริงๆกับการเปรียบเทียบอย่างนี้เราไม่รู้ว่าใครคือสิ่งมีชีวิต เผ่าพันธุ์แรกของจักวาล เพียงแต่เรารู้ว่า มนุษย์ถูงสร้างขึ้นมาให้มีชีวิตอยู่และดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์ วัฏจักรในการสร้างหรือทำให้เกิดขึ้นนั้น คุณจะสังเกตุได้จากบนโลก การสืบพันธุ์ของมนุษย์และสัตว์ทุกชนิด การขยายพันธุ์ของพืช หรือการผลิตออกซิเจนของต้นไม้ ล้วนแต่เป็นหน้าที่ที่ธรรมชาติหมอบบทบาทเหล่านี้ให้เรา
นั้นก็คือกฏแห่งจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลล้วนกลมเกลียวกัน จนก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมา การเกิดและการดับ มีขึ้นอยู่ตลอดเวลา มนุษย์มีหน้าที่ที่สำคัญคือ การดำรงอยู่ดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์ การสร้างและให้กำเนิดต่อๆกันอย่างไม่รู้จบ
มนุษย์เราต่างใช้ชีวิตกันไปคนละแบบ บางคนอยู่ไปวันๆโดยไม่มีจุดหมาย บางคนมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยผู้อื่น บางคนสร้างความชั่วร้าย และเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว จะมีซักกี่คนในโลกใบนี้ที่จะเหมือนหรือใกล้เคียง พระพุทธเจ้า พระเยซูคริสต์ พระโมฮาเม็ด ท่านโมเสส และศาสดาของศาสนาอื่นๆ ที่เต็มไปด้วยความเสียสละ สร้างความดีงามสร้างความรัก ความเมตตาและสอนการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องแด่เพื่อนมนุษย์
ในเมื่อมนุษย์เราเข้าใจได้แล้วว่า หน้าที่ของเราคือ การมีชีวิตและเป็นผู้สร้างเพื่อดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์ คุณก็ควรทำมันในเชิงสร้างสรรค์ สร้างสิ่งดีๆ สร้างความสุข สร้างความรัก สร้างความกลมเกลียวแก่โลกและเพื่อนมนุษย์ และผลของการสร้างนั้น(การกระทำ) มันจะเป็นไปตามงานที่สร้าง(ผลของกรรม) เมื่อมนุษย์สร้างความชั่ว(อาวุธทำลายล้าง) ก็เหมือนกับเชื้อโรคที่คอยทำลายเมล็ดเซลล์(โลก) เมื่อเมล็ดเซลล์ถูกทำลาย มันก็จะตายไปในที่สุด ยิ่งมีเชื้อโรคมากขึ้นเท่าไหร่ ร่างกาย(จักรวาล) ก็อ่อนแอลงเท่านั้น และแล้วหายนะก็จะเกิดขึ้นกับพวกเราเอง…

ผู้เขียนโดย Static James
https://romravin.wordpress.com/2011/03/08/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%99/